เมนู

2. วิวิตตสูตร



ว่าด้วยความสงัดจากกิเลส 3 อย่าง



[533] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกทั้งหลายผู้ถือลัทธิอื่น ย่อม
บัญญัติปวิเวก (ความสงบสงัด) 3 นี้ ปวิเวก 3 คืออะไร คือ จีวรปวิเวก
(ความสงบสงัดเนื่องด้วยผ้านุ่งห่ม) บิณฑบาตปวิเวก (ความสงบสงัดเนื่อง
ด้วยอาหาร) เสนาสนปวิเวก (ความสงบสงัดเนื่องด้วยที่อยู่อาศัย)
บรรดาปวิเวก 3 นั้น ในจีวรปวิเวก พวกปริพาชกบัญญัติผ้า ดังนี้
คือ เขาใช้ (สาณ) ผ้าทำด้วยเปลือกป่านบ้าง (มสาณ) ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน
แกมด้ายบ้าง (ฉวทุสฺส) ผ้าห่อศพบ้าง (ปํสุกูล) ผ้าที่เขาทิ้งแล้วบ้าง
(ติรีฏก) เปลือกไม้บ้าง (อชิน) หนังสัตว์บ้าง (อชินกฺขิปา) หนังสัตว์
มีเล็บติดบ้าง (กุสจีร) คากรองบ้าง (วากจีร) เปลือกไม้กรองบ้าง (ผลกจีร)
ผลไม้กรองบ้าง (เกสกมฺพล) ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง (วาลกมฺพล)
ผ้ากัมพลทำด้วยขนหางสัตว์บ้าง (อุลูกปกฺข) ปีกนกเค้าบ้าง
ในบิณฑบาตปวิเวก เขาบัญญัติอาหารดังนี้ คือ (สากภกฺขา)
กินผักบ้าง (สามากภกฺขา) กินข้าวฟ่างบ้าง (นิวารภกฺขา) กินลูกเดือยบ้าง
(ททฺทุลภกฺขา) กินกากหนัง (ที่ช่างหนังขูดทิ้ง) บ้าง (หฏภกฺขา)
กินยางไม้บ้าง (กณภกฺขา) กินรำข้าวบ้าง (อาจามภกฺขา) กินข้าวตังบ้าง
(ปิญฺญากภกฺขา) กินงาป่นบ้าง (ติณภกฺขา) กินหญ้าบ้าง (โคมยภกฺขา)
กินมูลโคบ้าง (วนมูลผลาหาร) กินเง่าและผลไม้ป่าบ้าง (ปวตฺตผลโภชี)
กินผลไม้ที่มีอยู่ (ในพื้นเมือง) บ้าง ยังชีพให้เป็นไป

ในเสนาสนปวิเวก เขาบัญญัติที่อยู่ดังนี้ คือ (อรญฺญ) ป่า(รุกฺขมูล)
โคนไม้ (สุสาน) ป่าช้า (วนปตฺถ) ป่าสูง (อพโภกาส) กลางแจ้ง
(ปลาลปุญฺช) กองฟาง (ภุสาคาร) โรงแกลบ
ภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น บัญญัติปวิเวก 3 นี้แล
ส่วนปวิเวก 3 ต่อไปนี้ เป็นปวิเวกของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ปวิเวกของภิกษุ 3 คืออะไรบ้าง คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล
ละความทุศีล และสงบสงัดจากความทุศีลนั้น 1 เป็นผู้มีความเห็นชอบ ละ-
ความเห็นผิด และสงบสงัดจากความเห็นผิดนั้น 1 เป็นขีณาสพ ละอาสวะ
ทั้งหลาย และสงบสงัดจากอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น 1 เมื่อภิกษุเป็นผู้มีศีล ฯลฯ
และสงบสงัดจากอาสวะทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ภิกษุนี้เราเรียกว่าเป็นผู้ถึงยอด
ถึงแก่น บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในสาระ
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนาข้าวสาลีของคฤหบดีชาวนามีผลได้ที่
แล้ว คฤหบดีชาวนาก็รีบ ๆ เกี่ยวข้าวนั้น ครั้นแล้วก็รีบ ๆ เก็บขนมาขึ้นลาน
ตั้งนวด สงฟาง ปัดข้าวลีบ สาดแล้ว สี ซ้อม ฝัด เมื่อเช่นนี้ ข้าวเปลือก
ของคฤหบดีชาวนานั้นก็เป็นถึงที่สุด ถึงแก่น สะอาด เป็นข้าวสาร ฉันใดก็ดี
ภิกษุเป็นผู้มีศีล ฯลฯ และสงบสงัดจากอาสวะทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ภิกษุนี้
เราเรียกว่าเป็นผู้ถึงยอด ถึงแก่น บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในสาระ ฉันนั้นเหมือนกันแล.
จบวิวิตตสูตรที่ 2

อรรถกถาวิวิตตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในวิวิตตสูตรที่ 2 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า จีวรปวิเวกํ ได้แก่ ความสงัดจากกิเลสที่เกิดขึ้นเพราะอาศัย
จีวร. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัย อย่างเดียวกันนี้แล. บทว่า
สาณานิ ได้แก่ผ้าที่ทอด้วยป่าน. บทว่า มสาณานิ ได้แก่ ผ้ามีเนื้อปนกัน.
บทว่า ฉวทุสฺสานิ ได้แก่ ผ้าที่ทิ้งจากร่างของคนตาย. หรือผ้านุ่งที่ทำโดย
กรองหญ้าเอรกะเป็นต้น. บทว่า ปํสุกูลานิ ได้แก่ ผ้าไม่มีชายที่ทิ้งไว้
บนแผ่นดิน. บทว่า ติรีฏกานิ ได้แก่ผ้าเปลือกไม้. บทว่า อชินจมฺมานิ
ได้แก่ หนังเสือเหลือง. บทว่า อชินกฺขิปํ ได้แก่ หนังเสือเหลืองนั้นแล
ที่ผ่ากลาง อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สหขุรกํ หนังเสือที่มีเล็บติด ดังนี้บ้าง.
บทว่า กุสจีรํ ได้แก่ จีวรที่ถักหญ้าคาทำ. แม้ในผ้าคากรองและผ้าเปลือกไม้
ก็มีนัย นี้แล. บทว่า เกสกมฺพลํ ได้แก่ ผ้ากัมพลที่ทำด้วยผมมนุษย์.
บทว่า วาลกมฺพลํ ได้แก่ ผ้ากัมพลที่ทำด้วยหางม้าเป็นต้น. บทว่า
อุลูกปกฺขิกํ ได้แก่ ผ้านุ่งที่ทำโดยปีกนกฮูก.
บทว่า สากภกฺขา ได้แก่มี ผักสดเป็นภักษา. บทว่า สามากภกฺขา
ได้แก่ มีข้าวฟ่างเป็นภักษา. ในบทว่า นิวาระ เป็นต้น วีหิชาติที่งอกขึ้นเอง
ในป่า ชื่อว่า นิวาระ (ลูกเดือย). บทว่า ททฺทุลํ ได้แก่ เศษเนื้อที่พวก
ช่างหนังแล่หนังแล้วทิ้งไว้. ยางเหนียวก็ดี สาหร่ายก็ดี ยางไม้มีต้นกรรณิการ์
เป็นต้นก็ดี เรียกว่า หฏะ. บทว่า กณํ แปลว่า รำข้าว. บทว่า อาจาโม
ได้แก่ ข้าวตังที่ติดหม้อข้าว เดียรถีย์ทั้งหลายเก็บเอาข้าวตังนั้นในที่ที่เขา
ทิ้งไว้แล้วเคี้ยวกิน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โอทนกญฺชิยํ ดังนี้บ้าง. งาป่น